9 เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพ PHP สำหรับเว็บไซต์ทราฟฟิกสูง

·
22 พฤศจิกายน 2024
·
Web Development

ทุกวันนี้เว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูงต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่เพียงเพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน แต่ยังเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและรายได้ของธุรกิจ การทำให้ PHP ของเราทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ

9 เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพ PHP สำหรับเว็บไซต์ทราฟฟิกสูง

ลองนึกภาพเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องประมวลผลคำขอหลายพันคำขอในเสี้ยววินาที ถ้า PHP ทำงานช้าเหมือนคนง่วงในวันจันทร์ ผลลัพธ์คงไม่ดีแน่ บทความนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึก 9 เคล็ดลับ ที่เราสามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ PHP และทำให้เว็บไซต์ของเพื่อนๆ พร้อมรับมือกับทราฟฟิกที่ล้นหลาม

1.ใช้ PHP เวอร์ชันล่าสุด 🛠️

ทำไมต้องอัปเดต?
PHP เวอร์ชันใหม่มักมาพร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพ การรักษาความปลอดภัย และฟีเจอร์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น PHP 8.3 มีการปรับปรุงฟีเจอร์เชิง Performance เช่น JIT (Just-In-Time Compiler)

🛠️ ตัวอย่างการตรวจสอบเวอร์ชัน PHP

if (version_compare(PHP_VERSION, '8.3', '<')) {
    die('โปรดอัปเดต PHP เวอร์ชันใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า!');
}

2.เปิดใช้ OPCache

OPCache คืออะไร?

OPCache เป็นฟีเจอร์ใน PHP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยการเก็บไฟล์ PHP ที่แปลงเป็น bytecode ไว้ใน หน่วยความจำ (memory) หลังจากที่ PHP ทำการคอมไพล์โค้ด PHP ครั้งแรกแล้ว จะทำให้การเรียกใช้งานไฟล์เดียวกันในครั้งถัดไปไม่ต้องทำการคอมไพล์ใหม่ ซึ่งจะลดเวลาที่ใช้ในการประมวลผลและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม

ปกติเมื่อ PHP เรียกไฟล์สคริปต์ มันจะต้องแปลงโค้ด PHP ให้กลายเป็น bytecode ก่อนที่จะทำการประมวลผล แต่ถ้าใช้ OPCache ค่าที่ถูกคอมไพล์แล้วจะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำในครั้งแรกที่เรียกใช้ ทำให้การเรียกใช้งานในครั้งถัดไปทำได้เร็วขึ้นมาก เพราะไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคอมไพล์ใหม่

ประโยชน์ของ OPCache

  1. ลดเวลาในการประมวลผล: เมื่อไฟล์ PHP ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำแล้ว การเรียกใช้งานไฟล์เหล่านั้นในครั้งถัดไปจะรวดเร็วขึ้นมาก เพราะไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคอมไพล์อีกครั้ง
  2. ลดการใช้งาน CPU: การคอมไพล์ PHP สคริปต์ทุกครั้งที่ทำการเรียกใช้งานจะทำให้ CPU ต้องทำงานหนัก แต่เมื่อใช้ OPCache จะช่วยลดการคำนวณที่ไม่จำเป็นนี้ลง
  3. เพิ่มประสิทธิภาพของเว็บ: เมื่อการคอมไพล์ไฟล์ PHP สามารถหลีกเลี่ยงได้ เว็บไซต์สามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์ดีขึ้น
  4. ประหยัดทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์: เนื่องจากไฟล์ที่ถูกคอมไพล์แล้วถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ เซิร์ฟเวอร์จึงไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการคอมไพล์ไฟล์ PHP ซ้ำ

วิธีเปิดใช้งาน OPCache

การเปิดใช้งาน OPCache สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการตั้งค่าผ่านไฟล์ php.ini บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา

1.เปิดไฟล์ php.ini
2.เพิ่มหรือแก้ไขการตั้งค่าต่อไปนี้:

zend_extension=opcache.so
opcache.enable=1
opcache.memory_consumption=128
opcache.interned_strings_buffer=8
opcache.max_accelerated_files=4000
opcache.revalidate_freq=60
opcache.validate_timestamps=1
  • opcache.memory_consumption: กำหนดขนาดของหน่วยความจำที่ OPCache สามารถใช้
  • opcache.max_accelerated_files: จำนวนไฟล์สูงสุดที่ OPCache จะเก็บไว้ในหน่วยความจำ
  • opcache.revalidate_freq: กำหนดช่วงเวลา (เป็นวินาที) ที่ OPCache จะตรวจสอบไฟล์ PHP ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
  • opcache.validate_timestamps: เปิดใช้งานการตรวจสอบ timestamp ของไฟล์ PHP เพื่อให้ OPCache อัปเดตไฟล์ที่มีการเปลี่ยนแปลง

3.รีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ PHP: หลังจากตั้งค่าแล้ว ให้รีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ PHP หรือ Apache/Nginx เพื่อให้การตั้งค่ามีผล

เคล็ดลับการตั้งค่า OPCache

  • เพิ่มหน่วยความจำ: หากเว็บไซต์ของเรามีไฟล์ PHP จำนวนมากหรือมีทราฟฟิกสูง เราสามารถเพิ่มขนาดหน่วยความจำที่ OPCache ใช้ (opcache.memory_consumption) เพื่อให้สามารถเก็บไฟล์ PHP ได้มากขึ้น
  • ใช้การตั้งค่า opcache.revalidate_freq ระยะเวลานานขึ้น: หากเว็บไซต์ของเราไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโค้ดบ่อยๆ เราสามารถตั้งค่านี้ให้ยาวขึ้นเพื่อลดการตรวจสอบที่ไม่จำเป็น

การเปิดใช้งาน OPCache เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ PHP โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูง

3.ใช้ Composer และ Autoloader ให้เป็นประโยชน์

Composer เป็นเครื่องมือจัดการไลบรารีใน PHP ที่ช่วยให้การติดตั้งและอัปเดตไลบรารีเป็นเรื่องง่ายและเป็นระบบ ส่วน Autoloader จะช่วยโหลดคลาสหรือไฟล์ที่จำเป็นเฉพาะเมื่อถูกเรียกใช้งาน ทำให้ลดเวลาและทรัพยากรในการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น เพื่อนๆ สามารถตั้งค่า Autoloader ได้ง่ายๆ ผ่านไฟล์ composer.json โดยใช้มาตรฐาน PSR-4 ตัวอย่างเช่น:

{
    "autoload": {
        "psr-4": {
            "App\\": "src/"
        }
    }
}

จากนั้น รันคำสั่ง composer dump-autoload เพื่อสร้างไฟล์ Autoloader ใช้ร่วมกับโปรเจกต์ของเพื่อนๆ ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความเป็นระเบียบของโค้ดได้มากขึ้น

4.ลดการใช้ฟังก์ชันที่ทำให้หนักเครื่อง

การเลือกใช้ฟังก์ชันที่เหมาะสมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ PHP ได้อย่างมาก เพราะฟังก์ชันบางตัวใช้ทรัพยากรมากกว่าเมื่อจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่

เปรียบเทียบฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพต่างกัน

1.array_merge vs Spread Operator (…)

  • array_merge จะสร้าง array ใหม่ทุกครั้งที่เรียกใช้ ซึ่งอาจทำให้หน่วยความจำถูกใช้งานมากขึ้นในกรณีของข้อมูลขนาดใหญ่
  • Spread Operator (…) ช่วยลดขั้นตอนการสร้าง array ใหม่และทำงานเร็วกว่า
// ช้ากว่า
$result = array_merge($array1, $array2);

// เร็วกว่า
$result = [...$array1, ...$array2];

2.in_array กับการใช้ Set หรือ Hash Table

  • in_array ใช้เวลาประมวลผลแบบ linear search (O(n))
  • ในกรณีที่ต้องค้นหาค่าซ้ำๆ หลายครั้ง ใช้โครงสร้างข้อมูลอื่น เช่น SplObjectStorage หรือ array_flip จะเร็วกว่า
// ช้ากว่า
if (in_array($value, $largeArray)) {
    echo 'Found';
}

// เร็วกว่า (สำหรับการค้นหาบ่อยครั้ง)
$lookup = array_flip($largeArray);
if (isset($lookup[$value])) {
    echo 'Found';
}

3.ฟังก์ชันเรียงลำดับ

ใช้ฟังก์ชันที่เหมาะสมกับความต้องการ เช่น usort จะช้ากว่า sort ในกรณีข้อมูลเรียบง่าย

เคล็ดลับการเลือกฟังก์ชันที่เหมาะสม
– ทดลองประสิทธิภาพด้วยข้อมูลจริง
– ใช้ xdebug หรือเครื่องมือ Profiler เช่น Blackfire เพื่อติดตามฟังก์ชันที่กินทรัพยากร

5.หลีกเลี่ยงการใช้ Query Database โดยตรงใน Loop

การใช้ query database ภายใน loop นั้นจะทำให้เกิดการเรียกฐานข้อมูลซ้ำๆ โดยที่ข้อมูลเดียวกันอาจถูกดึงมาหลายครั้ง ซึ่งจะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักและช้าลง โดยเฉพาะเมื่อมีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก

ปัญหาจากการใช้ Query ภายใน Loop

เมื่อเราทำการ query ฐานข้อมูลภายใน loop, การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลจะถูกเปิดและปิดซ้ำๆ ซึ่งเป็นการเสียเวลาและทรัพยากรอย่างมาก ตัวอย่างเช่น:

// ไม่แนะนำ
foreach ($userIds as $id) {
    $userData = $db->query("SELECT * FROM users WHERE id = $id");
}

ในกรณีนี้ การ query ฐานข้อมูลจะเกิดขึ้นหลายครั้งสำหรับแต่ละ $id ในขณะที่เราน่าจะสามารถดึงข้อมูลทั้งหมดในครั้งเดียวได้ ซึ่งจะลดภาระการเชื่อมต่อและประมวลผลที่ไม่จำเป็น

วิธีแก้ไข

แทนที่จะ query ฐานข้อมูลหลายครั้งใน loop, เราควรดึงข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการในครั้งเดียวแล้วทำการประมวลผลจากนั้น ตัวอย่างเช่น:

// แนะนำ
$idsStr = implode(',', $userIds);
$userData = $db->query("SELECT * FROM users WHERE id IN ($idsStr)");

ในตัวอย่างนี้ เรารวม $userIds เป็น string เดียวและ query ฐานข้อมูลครั้งเดียว ซึ่งช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนและทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น

ข้อดีของวิธีนี้

  1. ลดจำนวนการเชื่อมต่อฐานข้อมูล: เพียงแค่ query ครั้งเดียวเท่านั้น
  2. เพิ่มความเร็ว: เนื่องจากการ query จะทำในลักษณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ลดภาระเซิร์ฟเวอร์: การเชื่อมต่อฐานข้อมูลซ้ำๆ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกินไป

เคล็ดลับเพิ่มเติม: หากเราต้องดึงข้อมูลจากหลายตาราง การใช้ JOIN ใน SQL อาจช่วยลดความซับซ้อนในการ query และเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น

6.ใช้ Cache

การใช้ Cache เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก เพราะการคำนวณหรือดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลหลายๆ ครั้งนั้นจะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนัก และเพิ่มเวลาในการตอบสนองของเว็บไซต์ การใช้ Cache สามารถลดภาระการประมวลผลซ้ำๆ โดยการเก็บผลลัพธ์ที่คำนวณแล้วไว้ในหน่วยความจำหรือไฟล์ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ประเภทของ Cache ที่สามารถใช้ได้

  1. Object Cache: ใช้ในการเก็บข้อมูลที่ต้องการใช้งานบ่อย เช่น ข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือผลลัพธ์จากฟังก์ชันคำนวณที่ซับซ้อน การเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ใน Cache จะช่วยให้ไม่ต้องคำนวณใหม่ทุกครั้ง
    ตัวอย่างเช่น การเก็บข้อมูลที่ดึงมาจากฐานข้อมูลเพื่อให้การเรียกข้อมูลเหล่านี้เร็วขึ้นในครั้งถัดไป
  2. Query Cache: ใช้เพื่อเก็บผลลัพธ์จากการ query ฐานข้อมูลในครั้งก่อน ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการดึงข้อมูลเมื่อ query ซ้ำๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ การใช้ Query Cache จะช่วยให้ลดการโหลดของฐานข้อมูลได้มาก
  3. Page Cache: การเก็บหน้าเว็บที่เป็น HTML หรือข้อมูลที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบ่อยใน Cache เพื่อลดการประมวลผลที่ไม่จำเป็น การใช้ Page Cache ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ โดยการดึงข้อมูลจาก Cache แทนการสร้างหน้าใหม่ทุกครั้ง
  4. Opcode Cache: เป็นการเก็บผลลัพธ์ของการคอมไพล์โค้ด PHP ไว้ในหน่วยความจำ ทำให้ไม่ต้องแปลโค้ด PHP ใหม่ทุกครั้งที่มีการเข้าถึง ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นมาก โดยการใช้ OPCache (ส่วนขยายของ PHP) ซึ่งช่วยให้โค้ด PHP ทำงานได้เร็วขึ้น

เครื่องมือแนะนำสำหรับการใช้ Cache

  • Redis: เป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลในหน่วยความจำที่นิยมใช้ในระบบที่ต้องการ Cache ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเก็บข้อมูลทั้งแบบ key-value และแบบ complex data structures ได้ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ในเว็บแอปพลิเคชันที่มีการเรียกข้อมูลบ่อยๆ
  • Memcached: เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลในหน่วยความจำและเหมาะกับการ Cache ข้อมูลที่ไม่ซับซ้อนและสามารถเก็บข้อมูลที่ต้องใช้ซ้ำบ่อยๆ ในการทำงาน
  • Varnish Cache: ใช้สำหรับ Cache หน้าเว็บ (Page Caching) โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นมากและลดการโหลดเซิร์ฟเวอร์

เคล็ดลับการตั้งค่า Cache

  1. Cache ข้อมูลที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย: เช่น ผลลัพธ์จากการคำนวณหรือ query ที่ต้องใช้เวลานานในการประมวลผล
  2. ตั้งเวลาในการหมดอายุ (TTL) ให้เหมาะสม: การตั้งเวลา TTL (Time to Live) ในการหมดอายุของ Cache จะช่วยให้ข้อมูลใน Cache ไม่เก่าจนเกินไป เช่น ข้อมูลที่ต้องมีการอัปเดตบ่อยๆ ก็ควรตั้ง TTL ที่สั้น
  3. หลีกเลี่ยงการ Cache ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงบ่อย: เช่น ข้อมูลที่มีการอัปเดตในทุกๆ การเข้าถึง การ Cache ข้อมูลเหล่านี้อาจทำให้ข้อมูลเก่าถูกใช้งาน และเกิดปัญหาด้านความถูกต้อง
  4. ใช้ Cache สำหรับการโหลดข้อมูลจาก API หรือ External Services: การใช้ Cache สำหรับข้อมูลจากบริการภายนอกหรือ API สามารถลดเวลารอและประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเรียก API หลายครั้ง

7.ใช้การโหลดแบบ Asynchronous (ถ้าหากทำได้)

การใช้ Background Processing หรือการประมวลผลในพื้นหลังเป็นวิธีการที่ช่วยให้เว็บไซต์ไม่ต้องรอการประมวลผลเสร็จสิ้นก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถใช้งานต่อไปได้ เทคนิคนี้สามารถใช้ได้ทั้งในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (PHP) และฝั่งไคลเอนต์ (JavaScript)

ในส่วนของ PHP, เมื่อเว็บไซต์ต้องทำงานที่ใช้เวลานาน เช่น การส่งอีเมลจำนวนมาก การประมวลผลข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือการสร้างรายงานที่ต้องใช้เวลา เราสามารถใช้ Queues เพื่อส่งงานเหล่านี้ไปประมวลผลในพื้นหลัง โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องรอให้กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น

ตัวอย่างการใช้ RabbitMQ หรือ Queue System

RabbitMQ เป็นระบบที่ช่วยให้เราจัดการ Queue ของงานต่างๆ โดยไม่ให้เซิร์ฟเวอร์ต้องรอการประมวลผลจากคำร้องขอทั้งหมดก่อน RabbitMQ จะทำหน้าที่ส่งงานไปยัง Worker ที่สามารถประมวลผลได้ในพื้นหลัง ตัวอย่างการใช้งาน RabbitMQ ใน PHP

  1. ติดตั้ง RabbitMQ: เพื่อนๆ ต้องติดตั้ง RabbitMQ และตั้งค่าระบบการเชื่อมต่อในเซิร์ฟเวอร์ของเราก่อน
  2. การใช้งานใน PHP: ใช้ Library เช่น php-amqplib เพื่อติดต่อกับ RabbitMQ

ตัวอย่างโค้ดการใช้ RabbitMQ ในการส่งงานไปยัง Queue:

use PhpAmqpLib\Connection\AMQPStreamConnection;
use PhpAmqpLib\Message\AMQPMessage;

$connection = new AMQPStreamConnection('localhost', 5672, 'user', 'password', '/');
$channel = $connection->channel();

$channel->queue_declare('task_queue', false, true, false, false);

$msg = new AMQPMessage(
    'งานที่ต้องประมวลผล',
    ['delivery_mode' => AMQPMessage::DELIVERY_MODE_PERSISTENT]
);

$channel->basic_publish($msg, '', 'task_queue');

echo " [x] งานถูกส่งไปที่คิว\n";

$channel->close();
$connection->close();

ในตัวอย่างนี้ ข้อความจะถูกส่งไปยัง task_queue ซึ่งจะถูกเก็บไว้ใน RabbitMQ รอการประมวลผลโดย Worker ที่ทำงานในพื้นหลัง

ใช้ spatie/async Library ใน PHP

อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ได้คือการใช้ Library ที่มีชื่อว่า spatie/async ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างงานที่ประมวลผลในพื้นหลังในรูปแบบ Asynchronous ได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างการใช้ spatie/async ใน PHP

1.ติดตั้ง Library ด้วย Composer

composer require spatie/async

2.โค้ดตัวอย่างการใช้งาน

use Spatie\Async\Pool;

// สร้าง pool สำหรับการประมวลผล
$pool = Pool::create();

// เพิ่มงานที่ต้องการให้ประมวลผลในพื้นหลัง
$pool->add(function () {
    // ประมวลผลงานที่ต้องใช้เวลานาน
    sleep(5); // สมมุติว่าเป็นงานที่ใช้เวลานาน
    echo "เสร็จสิ้นการประมวลผลงาน\n";
});

// ทำให้โปรแกรมรอจนกว่าจะประมวลผลเสร็จ
$pool->wait();

ในตัวอย่างนี้ โปรแกรมจะไม่บล็อกการทำงานอื่นๆ ขณะที่รอการประมวลผลเสร็จสิ้น ตัวอย่างนี้จะทำให้งานที่ใช้เวลานานสามารถดำเนินการในพื้นหลังได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้เสร็จสิ้นก่อนที่เว็บไซต์จะตอบสนองกับผู้ใช้

ข้อดีของการใช้ Background Processing

  1. ไม่บล็อกการทำงานหลัก: ผู้ใช้สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ บนเว็บไซต์ได้ตามปกติ ขณะที่ระบบกำลังประมวลผลงานหนักๆ ในพื้นหลัง
  2. ลดเวลารอคอย: หากมีงานหลายงานที่ต้องทำ การใช้ Queues ช่วยให้ไม่ต้องให้ผู้ใช้รอจนกว่าจะเสร็จสิ้น ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของเว็บไซต์
  3. ประหยัดทรัพยากร: การส่งงานไปประมวลผลในพื้นหลังช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ในขณะที่กระบวนการประมวลผลหนักๆ กำลังดำเนินการ

ข้อควรระวัง

  • ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการจัดการข้อผิดพลาดอย่างเหมาะสม เช่น การจัดการเมื่อการประมวลผลล้มเหลวหรือเมื่อคิวงานเต็ม
  • ต้องระวังในการตั้งค่าเวลาในการประมวลผลให้เหมาะสม เพื่อลดการเกิดปัญหาการค้างคาในระบบ

ด้วยเทคนิคนี้ การประมวลผลที่หนักหน่วงจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในสถานการณ์ที่มีการโหลดงานหนัก

8.ลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น

การโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็นสามารถส่งผลให้เว็บไซต์ของเราช้าลงได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโหลดไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ในแต่ละคำร้องขอ (request) การตั้งค่า autoloading ให้โหลดเฉพาะไฟล์ที่จำเป็นจะช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม

วิธีการลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น

ใน PHP การใช้ Composer เป็นเครื่องมือในการจัดการการโหลดไฟล์ที่จำเป็นช่วยให้เราสามารถโหลดไฟล์และคลาสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ทั้งหมดที่มีอยู่ในโปรเจกต์

1.การตั้งค่า Autoload ใน composer.json

ไฟล์ composer.json สามารถกำหนดได้ว่าไฟล์หรือคลาสใดที่ควรถูกโหลดเมื่อแอปพลิเคชันเริ่มทำงาน ตัวอย่างเช่น การตั้งค่า autoload ใน composer.json เพื่อลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น:

{
  "autoload": {
    "files": ["src/helpers.php"]
  }
}

ในตัวอย่างนี้ เรากำหนดให้ Composer โหลดเฉพาะไฟล์ helpers.php จากโฟลเดอร์ src/ โดยไม่ต้องโหลดไฟล์อื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน

2.การใช้ PSR-4 Autoloading

PSR-4 เป็นมาตรฐานที่ Composer ใช้ในการโหลดคลาสจาก namespace ที่กำหนด โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ทั้งหมดในโปรเจกต์ ตัวอย่างการตั้งค่าดังนี้:

{
  "autoload": {
    "psr-4": {
      "App\\": "src/"
    }
  }
}

การตั้งค่านี้บอก Composer ให้โหลดไฟล์ PHP ที่มีชื่อสอดคล้องกับชื่อคลาสใน namespace App\ จากโฟลเดอร์ src/ เท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น

3.ประโยชน์จากการใช้ Autoload

  • ประหยัดเวลาในการโหลด: Composer จะโหลดเฉพาะไฟล์ที่จำเป็น ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้เร็วขึ้น
  • ลดการใช้หน่วยความจำ: การลดจำนวนไฟล์ที่ต้องโหลดในแต่ละคำร้องขอจะช่วยลดการใช้หน่วยความจำของเซิร์ฟเวอร์
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บ: เมื่อมีการโหลดไฟล์น้อยลง เซิร์ฟเวอร์สามารถตอบสนองคำขอได้เร็วขึ้นและลดเวลาการโหลดหน้าเว็บ

4.ตัวอย่างการจัดการไฟล์ Helper

สมมุติว่าเรามีไฟล์ helpers.php ที่ประกอบไปด้วยฟังก์ชันที่ใช้ในหลายๆ ส่วนของแอปพลิเคชัน

// helpers.php
function format_date($date) {
    return date('Y-m-d', strtotime($date));
}

หากเรากำหนดให้ Composer โหลดไฟล์นี้ผ่าน composer.json เมื่อเริ่มต้นแอปพลิเคชัน เราจะสามารถใช้ฟังก์ชันนี้ในทุกๆ หน้าโดยไม่ต้องโหลดไฟล์ helper ทุกครั้งที่ทำงาน

ข้อควรระวัง

  • หากโค้ดในไฟล์เหล่านั้นถูกเรียกใช้ในหลายๆ จุด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันโหลดไฟล์ที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดจากการไม่สามารถเข้าถึงฟังก์ชันหรือคลาสที่ต้องการ
  • หากมีไฟล์จำนวนมากที่ไม่จำเป็นต้องโหลดในทุกๆ คำร้องขอ สามารถจัดการโหลดไฟล์เหล่านั้นเฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น โหลดเฉพาะเมื่อคลาสหรือฟังก์ชันถูกเรียกใช้

การจัดการ autoloading อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้โปรเจกต์ของเพื่อนๆ มีการจัดการที่ดีขึ้นและทำงานได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น

9.ใช้ Monitoring Tools เพื่อติดตามประสิทธิภาพ

การใช้ Monitoring Tools เป็นสิ่งสำคัญในการตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่มีการใช้งานสูง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เพื่อนๆ เห็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบ ทำให้เราสามารถระบุจุดที่เป็นปัญหาหรือ bottleneck ที่ส่งผลให้ระบบช้าลงได้

เครื่องมือแนะนำ

1.New Relic

  • New Relic เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราติดตามประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ สามารถติดตามคำขอ HTTP, ข้อผิดพลาด, การใช้ทรัพยากร และเวลาที่ใช้ในการประมวลผลแต่ละคำขอ
  • ฟีเจอร์หลักของ New Relic คือ APM (Application Performance Monitoring) ซึ่งช่วยให้เราตรวจสอบทุกคำขอและค้นหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในโค้ดหรือฐานข้อมูล

ตัวอย่างการติดตั้ง New Relic บน PHP

sudo apt-get install newrelic-php5
sudo newrelic-install install

จากนั้นรีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ Apache หรือ Nginx เพื่อให้ New Relic ทำงาน

2.Blackfire

  • Blackfire เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ PHP โดยเน้นการวิเคราะห์โค้ดและหา bottleneck ในระบบ Blackfire สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการเรียกฟังก์ชันและดูว่าฟังก์ชันใดใช้เวลามากที่สุด
  • Blackfire จะช่วยให้เราทราบว่าโค้ดส่วนไหนที่ทำให้ระบบทำงานช้าหรือมีปัญหาในประสิทธิภาพ และจะมีคำแนะนำในการแก้ไขให้สามารถปรับปรุงได้
  • การใช้งาน Blackfire: สามารถติดตั้ง Blackfire บนเซิร์ฟเวอร์ของเพื่อนๆ ได้ง่ายๆ และเริ่มใช้งานเพื่อทดสอบโค้ดของเราในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ตัวอย่างการติดตั้ง Blackfire

curl -sS https://blackfire.io/agent/gpg | sudo apt-key add -
sudo apt-add-repository "deb http://packages.blackfire.io/debian any main"
sudo apt-get update
sudo apt-get install blackfire-agent

ข้อดีของการใช้ Monitoring Tools

  • การตรวจสอบแบบเรียลไทม์: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เราตรวจสอบประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันในเวลาจริงและพบปัญหาทันทีที่มันเกิดขึ้น
  • ระบุจุดที่เป็นปัญหา: การใช้งานเครื่องมืออย่าง New Relic และ Blackfire จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของระบบ และสามารถระบุ bottleneck หรือจุดที่ทำให้ระบบช้าได้ง่ายขึ้น
  • ปรับปรุงการใช้งาน: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถทำการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของโค้ด โดยการระบุจุดที่ต้องปรับปรุง เช่น ลดเวลาการตอบสนองหรือปรับปรุงการทำงานของฐานข้อมูล
  • การติดตามผลหลังการปรับปรุง: เมื่อเพื่อนๆ ทำการปรับปรุงระบบแล้ว, การใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราทราบว่าการปรับปรุงนั้นได้ผลหรือไม่

การใช้ New Relic และ Blackfire ช่วยให้เราสามารถติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์ PHP ที่มีผู้ใช้จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เราทำการปรับปรุงในส่วนที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้เร็วขึ้นและเสถียรมากยิ่งขึ้น

สรุป

การปรับปรุงประสิทธิภาพ PHP ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในวันเดียว แต่การเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เช่น อัปเดต PHP หรือใช้ OPCache จะช่วยลดภาระเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที

เริ่มจากข้อไหนก่อน?

  • ลองเปิดใช้ OPCache
  • เช็กเวอร์ชัน PHP
  • หลีกเลี่ยงการ Query Database ใน Loop

ด้วย 9 เคล็ดลับ นี้ เราสามารถเพิ่มความเร็วและความเสถียรให้กับเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำคมปิดท้าย: “โค้ดที่ดีคือโค้ดที่ไม่ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล้ม!” 😄