ทุกวันนี้เว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูงต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่เพียงเพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน แต่ยังเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและรายได้ของธุรกิจ การทำให้ PHP ของเราทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ลองนึกภาพเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องประมวลผลคำขอหลายพันคำขอในเสี้ยววินาที ถ้า PHP ทำงานช้าเหมือนคนง่วงในวันจันทร์ ผลลัพธ์คงไม่ดีแน่ บทความนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึก 9 เคล็ดลับ ที่เราสามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ PHP และทำให้เว็บไซต์ของเพื่อนๆ พร้อมรับมือกับทราฟฟิกที่ล้นหลาม
1.ใช้ PHP เวอร์ชันล่าสุด 🛠️
ทำไมต้องอัปเดต?
PHP เวอร์ชันใหม่มักมาพร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพ การรักษาความปลอดภัย และฟีเจอร์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น PHP 8.3 มีการปรับปรุงฟีเจอร์เชิง Performance เช่น JIT (Just-In-Time Compiler)
🛠️ ตัวอย่างการตรวจสอบเวอร์ชัน PHP
if (version_compare(PHP_VERSION, '8.3', '<')) {
die('โปรดอัปเดต PHP เวอร์ชันใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า!');
}
💡 เคล็ดลับ: ก่อนอัปเดต PHP อย่าลืมตรวจสอบความเข้ากันได้ของโค้ดและแพ็กเกจต่างๆ ในโปรเจกต์ของเรา
2.เปิดใช้ OPCache
OPCache คืออะไร?
OPCache เป็นฟีเจอร์ใน PHP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยการเก็บไฟล์ PHP ที่แปลงเป็น bytecode ไว้ใน หน่วยความจำ (memory) หลังจากที่ PHP ทำการคอมไพล์โค้ด PHP ครั้งแรกแล้ว จะทำให้การเรียกใช้งานไฟล์เดียวกันในครั้งถัดไปไม่ต้องทำการคอมไพล์ใหม่ ซึ่งจะลดเวลาที่ใช้ในการประมวลผลและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
ปกติเมื่อ PHP เรียกไฟล์สคริปต์ มันจะต้องแปลงโค้ด PHP ให้กลายเป็น bytecode ก่อนที่จะทำการประมวลผล แต่ถ้าใช้ OPCache ค่าที่ถูกคอมไพล์แล้วจะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำในครั้งแรกที่เรียกใช้ ทำให้การเรียกใช้งานในครั้งถัดไปทำได้เร็วขึ้นมาก เพราะไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคอมไพล์ใหม่
ประโยชน์ของ OPCache
- ลดเวลาในการประมวลผล: เมื่อไฟล์ PHP ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำแล้ว การเรียกใช้งานไฟล์เหล่านั้นในครั้งถัดไปจะรวดเร็วขึ้นมาก เพราะไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคอมไพล์อีกครั้ง
- ลดการใช้งาน CPU: การคอมไพล์ PHP สคริปต์ทุกครั้งที่ทำการเรียกใช้งานจะทำให้ CPU ต้องทำงานหนัก แต่เมื่อใช้ OPCache จะช่วยลดการคำนวณที่ไม่จำเป็นนี้ลง
- เพิ่มประสิทธิภาพของเว็บ: เมื่อการคอมไพล์ไฟล์ PHP สามารถหลีกเลี่ยงได้ เว็บไซต์สามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์ดีขึ้น
- ประหยัดทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์: เนื่องจากไฟล์ที่ถูกคอมไพล์แล้วถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ เซิร์ฟเวอร์จึงไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการคอมไพล์ไฟล์ PHP ซ้ำ
วิธีเปิดใช้งาน OPCache
การเปิดใช้งาน OPCache สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการตั้งค่าผ่านไฟล์ php.ini บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา
1.เปิดไฟล์ php.ini
2.เพิ่มหรือแก้ไขการตั้งค่าต่อไปนี้:
zend_extension=opcache.so
opcache.enable=1
opcache.memory_consumption=128
opcache.interned_strings_buffer=8
opcache.max_accelerated_files=4000
opcache.revalidate_freq=60
opcache.validate_timestamps=1
- opcache.memory_consumption: กำหนดขนาดของหน่วยความจำที่ OPCache สามารถใช้
- opcache.max_accelerated_files: จำนวนไฟล์สูงสุดที่ OPCache จะเก็บไว้ในหน่วยความจำ
- opcache.revalidate_freq: กำหนดช่วงเวลา (เป็นวินาที) ที่ OPCache จะตรวจสอบไฟล์ PHP ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
- opcache.validate_timestamps: เปิดใช้งานการตรวจสอบ timestamp ของไฟล์ PHP เพื่อให้ OPCache อัปเดตไฟล์ที่มีการเปลี่ยนแปลง
3.รีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ PHP: หลังจากตั้งค่าแล้ว ให้รีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ PHP หรือ Apache/Nginx เพื่อให้การตั้งค่ามีผล
เคล็ดลับการตั้งค่า OPCache
- เพิ่มหน่วยความจำ: หากเว็บไซต์ของเรามีไฟล์ PHP จำนวนมากหรือมีทราฟฟิกสูง เราสามารถเพิ่มขนาดหน่วยความจำที่ OPCache ใช้ (opcache.memory_consumption) เพื่อให้สามารถเก็บไฟล์ PHP ได้มากขึ้น
- ใช้การตั้งค่า opcache.revalidate_freq ระยะเวลานานขึ้น: หากเว็บไซต์ของเราไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโค้ดบ่อยๆ เราสามารถตั้งค่านี้ให้ยาวขึ้นเพื่อลดการตรวจสอบที่ไม่จำเป็น
การเปิดใช้งาน OPCache เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ PHP โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูง
3.ใช้ Composer และ Autoloader ให้เป็นประโยชน์
Composer เป็นเครื่องมือจัดการไลบรารีใน PHP ที่ช่วยให้การติดตั้งและอัปเดตไลบรารีเป็นเรื่องง่ายและเป็นระบบ ส่วน Autoloader จะช่วยโหลดคลาสหรือไฟล์ที่จำเป็นเฉพาะเมื่อถูกเรียกใช้งาน ทำให้ลดเวลาและทรัพยากรในการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น เพื่อนๆ สามารถตั้งค่า Autoloader ได้ง่ายๆ ผ่านไฟล์ composer.json โดยใช้มาตรฐาน PSR-4 ตัวอย่างเช่น:
{
"autoload": {
"psr-4": {
"App\\": "src/"
}
}
}
จากนั้น รันคำสั่ง composer dump-autoload เพื่อสร้างไฟล์ Autoloader ใช้ร่วมกับโปรเจกต์ของเพื่อนๆ ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความเป็นระเบียบของโค้ดได้มากขึ้น
4.ลดการใช้ฟังก์ชันที่ทำให้หนักเครื่อง
การเลือกใช้ฟังก์ชันที่เหมาะสมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ PHP ได้อย่างมาก เพราะฟังก์ชันบางตัวใช้ทรัพยากรมากกว่าเมื่อจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่
เปรียบเทียบฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพต่างกัน
1.array_merge vs Spread Operator (…)
- array_merge จะสร้าง array ใหม่ทุกครั้งที่เรียกใช้ ซึ่งอาจทำให้หน่วยความจำถูกใช้งานมากขึ้นในกรณีของข้อมูลขนาดใหญ่
- Spread Operator (…) ช่วยลดขั้นตอนการสร้าง array ใหม่และทำงานเร็วกว่า
// ช้ากว่า
$result = array_merge($array1, $array2);
// เร็วกว่า
$result = [...$array1, ...$array2];
2.in_array กับการใช้ Set หรือ Hash Table
- in_array ใช้เวลาประมวลผลแบบ linear search (O(n))
- ในกรณีที่ต้องค้นหาค่าซ้ำๆ หลายครั้ง ใช้โครงสร้างข้อมูลอื่น เช่น SplObjectStorage หรือ array_flip จะเร็วกว่า
// ช้ากว่า
if (in_array($value, $largeArray)) {
echo 'Found';
}
// เร็วกว่า (สำหรับการค้นหาบ่อยครั้ง)
$lookup = array_flip($largeArray);
if (isset($lookup[$value])) {
echo 'Found';
}
3.ฟังก์ชันเรียงลำดับ
ใช้ฟังก์ชันที่เหมาะสมกับความต้องการ เช่น usort จะช้ากว่า sort ในกรณีข้อมูลเรียบง่าย
เคล็ดลับการเลือกฟังก์ชันที่เหมาะสม
– ทดลองประสิทธิภาพด้วยข้อมูลจริง
– ใช้ xdebug หรือเครื่องมือ Profiler เช่น Blackfire เพื่อติดตามฟังก์ชันที่กินทรัพยากร
คำแนะนำเพิ่มเติม: ฟังก์ชันที่ช้าไม่ได้หมายความว่าไม่ดีเสมอไป หากเลือกใช้ในบริบทที่เหมาะสม เพื่อนๆ ยังสามารถลดภาระการประมวลผลด้วยการทำ pre-compute หรือ cache ผลลัพธ์ไว้ล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการคำนวณซ้ำ
5.หลีกเลี่ยงการใช้ Query Database โดยตรงใน Loop
การใช้ query database ภายใน loop นั้นจะทำให้เกิดการเรียกฐานข้อมูลซ้ำๆ โดยที่ข้อมูลเดียวกันอาจถูกดึงมาหลายครั้ง ซึ่งจะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักและช้าลง โดยเฉพาะเมื่อมีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
ปัญหาจากการใช้ Query ภายใน Loop
เมื่อเราทำการ query ฐานข้อมูลภายใน loop, การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลจะถูกเปิดและปิดซ้ำๆ ซึ่งเป็นการเสียเวลาและทรัพยากรอย่างมาก ตัวอย่างเช่น:
// ไม่แนะนำ
foreach ($userIds as $id) {
$userData = $db->query("SELECT * FROM users WHERE id = $id");
}
ในกรณีนี้ การ query ฐานข้อมูลจะเกิดขึ้นหลายครั้งสำหรับแต่ละ $id ในขณะที่เราน่าจะสามารถดึงข้อมูลทั้งหมดในครั้งเดียวได้ ซึ่งจะลดภาระการเชื่อมต่อและประมวลผลที่ไม่จำเป็น
วิธีแก้ไข
แทนที่จะ query ฐานข้อมูลหลายครั้งใน loop, เราควรดึงข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการในครั้งเดียวแล้วทำการประมวลผลจากนั้น ตัวอย่างเช่น:
// แนะนำ
$idsStr = implode(',', $userIds);
$userData = $db->query("SELECT * FROM users WHERE id IN ($idsStr)");
ในตัวอย่างนี้ เรารวม $userIds เป็น string เดียวและ query ฐานข้อมูลครั้งเดียว ซึ่งช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนและทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น
ข้อดีของวิธีนี้
- ลดจำนวนการเชื่อมต่อฐานข้อมูล: เพียงแค่ query ครั้งเดียวเท่านั้น
- เพิ่มความเร็ว: เนื่องจากการ query จะทำในลักษณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดภาระเซิร์ฟเวอร์: การเชื่อมต่อฐานข้อมูลซ้ำๆ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกินไป
เคล็ดลับเพิ่มเติม: หากเราต้องดึงข้อมูลจากหลายตาราง การใช้ JOIN ใน SQL อาจช่วยลดความซับซ้อนในการ query และเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
6.ใช้ Cache
การใช้ Cache เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก เพราะการคำนวณหรือดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลหลายๆ ครั้งนั้นจะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนัก และเพิ่มเวลาในการตอบสนองของเว็บไซต์ การใช้ Cache สามารถลดภาระการประมวลผลซ้ำๆ โดยการเก็บผลลัพธ์ที่คำนวณแล้วไว้ในหน่วยความจำหรือไฟล์ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ประเภทของ Cache ที่สามารถใช้ได้
- Object Cache: ใช้ในการเก็บข้อมูลที่ต้องการใช้งานบ่อย เช่น ข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือผลลัพธ์จากฟังก์ชันคำนวณที่ซับซ้อน การเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ใน Cache จะช่วยให้ไม่ต้องคำนวณใหม่ทุกครั้ง
ตัวอย่างเช่น การเก็บข้อมูลที่ดึงมาจากฐานข้อมูลเพื่อให้การเรียกข้อมูลเหล่านี้เร็วขึ้นในครั้งถัดไป - Query Cache: ใช้เพื่อเก็บผลลัพธ์จากการ query ฐานข้อมูลในครั้งก่อน ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการดึงข้อมูลเมื่อ query ซ้ำๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ การใช้ Query Cache จะช่วยให้ลดการโหลดของฐานข้อมูลได้มาก
- Page Cache: การเก็บหน้าเว็บที่เป็น HTML หรือข้อมูลที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบ่อยใน Cache เพื่อลดการประมวลผลที่ไม่จำเป็น การใช้ Page Cache ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ โดยการดึงข้อมูลจาก Cache แทนการสร้างหน้าใหม่ทุกครั้ง
- Opcode Cache: เป็นการเก็บผลลัพธ์ของการคอมไพล์โค้ด PHP ไว้ในหน่วยความจำ ทำให้ไม่ต้องแปลโค้ด PHP ใหม่ทุกครั้งที่มีการเข้าถึง ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นมาก โดยการใช้ OPCache (ส่วนขยายของ PHP) ซึ่งช่วยให้โค้ด PHP ทำงานได้เร็วขึ้น
เครื่องมือแนะนำสำหรับการใช้ Cache
- Redis: เป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลในหน่วยความจำที่นิยมใช้ในระบบที่ต้องการ Cache ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเก็บข้อมูลทั้งแบบ key-value และแบบ complex data structures ได้ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ในเว็บแอปพลิเคชันที่มีการเรียกข้อมูลบ่อยๆ
- Memcached: เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลในหน่วยความจำและเหมาะกับการ Cache ข้อมูลที่ไม่ซับซ้อนและสามารถเก็บข้อมูลที่ต้องใช้ซ้ำบ่อยๆ ในการทำงาน
- Varnish Cache: ใช้สำหรับ Cache หน้าเว็บ (Page Caching) โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นมากและลดการโหลดเซิร์ฟเวอร์
เคล็ดลับการตั้งค่า Cache
- Cache ข้อมูลที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย: เช่น ผลลัพธ์จากการคำนวณหรือ query ที่ต้องใช้เวลานานในการประมวลผล
- ตั้งเวลาในการหมดอายุ (TTL) ให้เหมาะสม: การตั้งเวลา TTL (Time to Live) ในการหมดอายุของ Cache จะช่วยให้ข้อมูลใน Cache ไม่เก่าจนเกินไป เช่น ข้อมูลที่ต้องมีการอัปเดตบ่อยๆ ก็ควรตั้ง TTL ที่สั้น
- หลีกเลี่ยงการ Cache ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงบ่อย: เช่น ข้อมูลที่มีการอัปเดตในทุกๆ การเข้าถึง การ Cache ข้อมูลเหล่านี้อาจทำให้ข้อมูลเก่าถูกใช้งาน และเกิดปัญหาด้านความถูกต้อง
- ใช้ Cache สำหรับการโหลดข้อมูลจาก API หรือ External Services: การใช้ Cache สำหรับข้อมูลจากบริการภายนอกหรือ API สามารถลดเวลารอและประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเรียก API หลายครั้ง
7.ใช้การโหลดแบบ Asynchronous (ถ้าหากทำได้)
การใช้ Background Processing หรือการประมวลผลในพื้นหลังเป็นวิธีการที่ช่วยให้เว็บไซต์ไม่ต้องรอการประมวลผลเสร็จสิ้นก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถใช้งานต่อไปได้ เทคนิคนี้สามารถใช้ได้ทั้งในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (PHP) และฝั่งไคลเอนต์ (JavaScript)
ในส่วนของ PHP, เมื่อเว็บไซต์ต้องทำงานที่ใช้เวลานาน เช่น การส่งอีเมลจำนวนมาก การประมวลผลข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือการสร้างรายงานที่ต้องใช้เวลา เราสามารถใช้ Queues เพื่อส่งงานเหล่านี้ไปประมวลผลในพื้นหลัง โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องรอให้กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น
ตัวอย่างการใช้ RabbitMQ หรือ Queue System
RabbitMQ เป็นระบบที่ช่วยให้เราจัดการ Queue ของงานต่างๆ โดยไม่ให้เซิร์ฟเวอร์ต้องรอการประมวลผลจากคำร้องขอทั้งหมดก่อน RabbitMQ จะทำหน้าที่ส่งงานไปยัง Worker ที่สามารถประมวลผลได้ในพื้นหลัง ตัวอย่างการใช้งาน RabbitMQ ใน PHP
- ติดตั้ง RabbitMQ: เพื่อนๆ ต้องติดตั้ง RabbitMQ และตั้งค่าระบบการเชื่อมต่อในเซิร์ฟเวอร์ของเราก่อน
- การใช้งานใน PHP: ใช้ Library เช่น php-amqplib เพื่อติดต่อกับ RabbitMQ
ตัวอย่างโค้ดการใช้ RabbitMQ ในการส่งงานไปยัง Queue:
use PhpAmqpLib\Connection\AMQPStreamConnection;
use PhpAmqpLib\Message\AMQPMessage;
$connection = new AMQPStreamConnection('localhost', 5672, 'user', 'password', '/');
$channel = $connection->channel();
$channel->queue_declare('task_queue', false, true, false, false);
$msg = new AMQPMessage(
'งานที่ต้องประมวลผล',
['delivery_mode' => AMQPMessage::DELIVERY_MODE_PERSISTENT]
);
$channel->basic_publish($msg, '', 'task_queue');
echo " [x] งานถูกส่งไปที่คิว\n";
$channel->close();
$connection->close();
ในตัวอย่างนี้ ข้อความจะถูกส่งไปยัง task_queue ซึ่งจะถูกเก็บไว้ใน RabbitMQ รอการประมวลผลโดย Worker ที่ทำงานในพื้นหลัง
ใช้ spatie/async Library ใน PHP
อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ได้คือการใช้ Library ที่มีชื่อว่า spatie/async ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างงานที่ประมวลผลในพื้นหลังในรูปแบบ Asynchronous ได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างการใช้ spatie/async ใน PHP
1.ติดตั้ง Library ด้วย Composer
composer require spatie/async
2.โค้ดตัวอย่างการใช้งาน
use Spatie\Async\Pool;
// สร้าง pool สำหรับการประมวลผล
$pool = Pool::create();
// เพิ่มงานที่ต้องการให้ประมวลผลในพื้นหลัง
$pool->add(function () {
// ประมวลผลงานที่ต้องใช้เวลานาน
sleep(5); // สมมุติว่าเป็นงานที่ใช้เวลานาน
echo "เสร็จสิ้นการประมวลผลงาน\n";
});
// ทำให้โปรแกรมรอจนกว่าจะประมวลผลเสร็จ
$pool->wait();
ในตัวอย่างนี้ โปรแกรมจะไม่บล็อกการทำงานอื่นๆ ขณะที่รอการประมวลผลเสร็จสิ้น ตัวอย่างนี้จะทำให้งานที่ใช้เวลานานสามารถดำเนินการในพื้นหลังได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้เสร็จสิ้นก่อนที่เว็บไซต์จะตอบสนองกับผู้ใช้
ข้อดีของการใช้ Background Processing
- ไม่บล็อกการทำงานหลัก: ผู้ใช้สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ บนเว็บไซต์ได้ตามปกติ ขณะที่ระบบกำลังประมวลผลงานหนักๆ ในพื้นหลัง
- ลดเวลารอคอย: หากมีงานหลายงานที่ต้องทำ การใช้ Queues ช่วยให้ไม่ต้องให้ผู้ใช้รอจนกว่าจะเสร็จสิ้น ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของเว็บไซต์
- ประหยัดทรัพยากร: การส่งงานไปประมวลผลในพื้นหลังช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ในขณะที่กระบวนการประมวลผลหนักๆ กำลังดำเนินการ
ข้อควรระวัง
- ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการจัดการข้อผิดพลาดอย่างเหมาะสม เช่น การจัดการเมื่อการประมวลผลล้มเหลวหรือเมื่อคิวงานเต็ม
- ต้องระวังในการตั้งค่าเวลาในการประมวลผลให้เหมาะสม เพื่อลดการเกิดปัญหาการค้างคาในระบบ
ด้วยเทคนิคนี้ การประมวลผลที่หนักหน่วงจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในสถานการณ์ที่มีการโหลดงานหนัก
8.ลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น
การโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็นสามารถส่งผลให้เว็บไซต์ของเราช้าลงได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโหลดไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ในแต่ละคำร้องขอ (request) การตั้งค่า autoloading ให้โหลดเฉพาะไฟล์ที่จำเป็นจะช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
วิธีการลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น
ใน PHP การใช้ Composer เป็นเครื่องมือในการจัดการการโหลดไฟล์ที่จำเป็นช่วยให้เราสามารถโหลดไฟล์และคลาสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ทั้งหมดที่มีอยู่ในโปรเจกต์
1.การตั้งค่า Autoload ใน composer.json
ไฟล์ composer.json สามารถกำหนดได้ว่าไฟล์หรือคลาสใดที่ควรถูกโหลดเมื่อแอปพลิเคชันเริ่มทำงาน ตัวอย่างเช่น การตั้งค่า autoload ใน composer.json เพื่อลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น:
{
"autoload": {
"files": ["src/helpers.php"]
}
}
ในตัวอย่างนี้ เรากำหนดให้ Composer โหลดเฉพาะไฟล์ helpers.php จากโฟลเดอร์ src/ โดยไม่ต้องโหลดไฟล์อื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน
2.การใช้ PSR-4 Autoloading
PSR-4 เป็นมาตรฐานที่ Composer ใช้ในการโหลดคลาสจาก namespace ที่กำหนด โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ทั้งหมดในโปรเจกต์ ตัวอย่างการตั้งค่าดังนี้:
{
"autoload": {
"psr-4": {
"App\\": "src/"
}
}
}
การตั้งค่านี้บอก Composer ให้โหลดไฟล์ PHP ที่มีชื่อสอดคล้องกับชื่อคลาสใน namespace App\ จากโฟลเดอร์ src/ เท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดการโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น
3.ประโยชน์จากการใช้ Autoload
- ประหยัดเวลาในการโหลด: Composer จะโหลดเฉพาะไฟล์ที่จำเป็น ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้เร็วขึ้น
- ลดการใช้หน่วยความจำ: การลดจำนวนไฟล์ที่ต้องโหลดในแต่ละคำร้องขอจะช่วยลดการใช้หน่วยความจำของเซิร์ฟเวอร์
- ปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บ: เมื่อมีการโหลดไฟล์น้อยลง เซิร์ฟเวอร์สามารถตอบสนองคำขอได้เร็วขึ้นและลดเวลาการโหลดหน้าเว็บ
4.ตัวอย่างการจัดการไฟล์ Helper
สมมุติว่าเรามีไฟล์ helpers.php ที่ประกอบไปด้วยฟังก์ชันที่ใช้ในหลายๆ ส่วนของแอปพลิเคชัน
// helpers.php
function format_date($date) {
return date('Y-m-d', strtotime($date));
}
หากเรากำหนดให้ Composer โหลดไฟล์นี้ผ่าน composer.json เมื่อเริ่มต้นแอปพลิเคชัน เราจะสามารถใช้ฟังก์ชันนี้ในทุกๆ หน้าโดยไม่ต้องโหลดไฟล์ helper ทุกครั้งที่ทำงาน
ข้อควรระวัง
- หากโค้ดในไฟล์เหล่านั้นถูกเรียกใช้ในหลายๆ จุด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันโหลดไฟล์ที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดจากการไม่สามารถเข้าถึงฟังก์ชันหรือคลาสที่ต้องการ
- หากมีไฟล์จำนวนมากที่ไม่จำเป็นต้องโหลดในทุกๆ คำร้องขอ สามารถจัดการโหลดไฟล์เหล่านั้นเฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น โหลดเฉพาะเมื่อคลาสหรือฟังก์ชันถูกเรียกใช้
การจัดการ autoloading อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้โปรเจกต์ของเพื่อนๆ มีการจัดการที่ดีขึ้นและทำงานได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ที่ไม่จำเป็น
9.ใช้ Monitoring Tools เพื่อติดตามประสิทธิภาพ
การใช้ Monitoring Tools เป็นสิ่งสำคัญในการตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่มีการใช้งานสูง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เพื่อนๆ เห็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบ ทำให้เราสามารถระบุจุดที่เป็นปัญหาหรือ bottleneck ที่ส่งผลให้ระบบช้าลงได้
เครื่องมือแนะนำ
1.New Relic
- New Relic เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราติดตามประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ สามารถติดตามคำขอ HTTP, ข้อผิดพลาด, การใช้ทรัพยากร และเวลาที่ใช้ในการประมวลผลแต่ละคำขอ
- ฟีเจอร์หลักของ New Relic คือ APM (Application Performance Monitoring) ซึ่งช่วยให้เราตรวจสอบทุกคำขอและค้นหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในโค้ดหรือฐานข้อมูล
ตัวอย่างการติดตั้ง New Relic บน PHP
sudo apt-get install newrelic-php5
sudo newrelic-install install
จากนั้นรีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ Apache หรือ Nginx เพื่อให้ New Relic ทำงาน
2.Blackfire
- Blackfire เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ PHP โดยเน้นการวิเคราะห์โค้ดและหา bottleneck ในระบบ Blackfire สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการเรียกฟังก์ชันและดูว่าฟังก์ชันใดใช้เวลามากที่สุด
- Blackfire จะช่วยให้เราทราบว่าโค้ดส่วนไหนที่ทำให้ระบบทำงานช้าหรือมีปัญหาในประสิทธิภาพ และจะมีคำแนะนำในการแก้ไขให้สามารถปรับปรุงได้
- การใช้งาน Blackfire: สามารถติดตั้ง Blackfire บนเซิร์ฟเวอร์ของเพื่อนๆ ได้ง่ายๆ และเริ่มใช้งานเพื่อทดสอบโค้ดของเราในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ตัวอย่างการติดตั้ง Blackfire
curl -sS https://blackfire.io/agent/gpg | sudo apt-key add -
sudo apt-add-repository "deb http://packages.blackfire.io/debian any main"
sudo apt-get update
sudo apt-get install blackfire-agent
ข้อดีของการใช้ Monitoring Tools
- การตรวจสอบแบบเรียลไทม์: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เราตรวจสอบประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันในเวลาจริงและพบปัญหาทันทีที่มันเกิดขึ้น
- ระบุจุดที่เป็นปัญหา: การใช้งานเครื่องมืออย่าง New Relic และ Blackfire จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของระบบ และสามารถระบุ bottleneck หรือจุดที่ทำให้ระบบช้าได้ง่ายขึ้น
- ปรับปรุงการใช้งาน: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถทำการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของโค้ด โดยการระบุจุดที่ต้องปรับปรุง เช่น ลดเวลาการตอบสนองหรือปรับปรุงการทำงานของฐานข้อมูล
- การติดตามผลหลังการปรับปรุง: เมื่อเพื่อนๆ ทำการปรับปรุงระบบแล้ว, การใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราทราบว่าการปรับปรุงนั้นได้ผลหรือไม่
การใช้ New Relic และ Blackfire ช่วยให้เราสามารถติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์ PHP ที่มีผู้ใช้จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เราทำการปรับปรุงในส่วนที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้เร็วขึ้นและเสถียรมากยิ่งขึ้น
สรุป
การปรับปรุงประสิทธิภาพ PHP ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในวันเดียว แต่การเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เช่น อัปเดต PHP หรือใช้ OPCache จะช่วยลดภาระเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที
เริ่มจากข้อไหนก่อน?
- ลองเปิดใช้ OPCache
- เช็กเวอร์ชัน PHP
- หลีกเลี่ยงการ Query Database ใน Loop
ด้วย 9 เคล็ดลับ นี้ เราสามารถเพิ่มความเร็วและความเสถียรให้กับเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำคมปิดท้าย: “โค้ดที่ดีคือโค้ดที่ไม่ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล้ม!” 😄